03 สิงหาคม 2551

แผนธุรกิจ…..ใครว่ายาก

ผู้ประกอบการธุรกิจระดับ SME สไตล์เถ้าแก่ท่านหนึ่ง ที่มาพร้อมกับสุนัขตัวโปรด ชื่อปองปอง นั่งปรารภกับผมในยามเช้า ที่ร้านกาแฟ บนดอยตุง จังหวัดเชียงราย อากาศบนดอยตุงวันนี้ ไม่หนาวมากนัก แต่ก็ไม่ร้อนจนเกินไป กำลังสบาย มีหมอกบางๆ สลับกับลมโชยเย็นๆ พรรณไม้ดอกเมืองหนาวหลายพันธุ์กำลังอวดความงามสะพรั่งของตนเอง เหมือนกับว่าได้ถึงเวลาของมันแล้ว
“ทำไมเดี๋ยวนี้ เวลาจะกู้เงินแบงค์ ผมจำเป็นต้องทำแผนธุรกิจด้วยหรือ?” นี่เป็นคำถามแรกที่เอื้อนเอ่ยออกมาจากเรียวปากของเถ้าแก่ผู้คร่ำหวอดในวงการค้าอะไหล่ยนต์ในภาคเหนือมามากกว่า 40 ปี
“ประสบการณ์ของผมกับทรัพย์สินของผมที่มีอยู่ มันการันตีเงินกู้ไม่พอหรืออย่างไร” และนี่ก็เป็นคำถามที่สองที่ตามต่อเนื่องมาอย่างรวดเร็ว
คำถามทำนองนี้ ผมเชื่อว่า ยังคงมีอยู่ในใจผู้ประกอบการสไตล์เถ้าแก่หลายคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่เคยประสบความสำเร็จร่ำรวยทางการค้ามาหลายสิบปีที่ผ่านมา
“แล้วเฮียจะขยายร้านหรือว่าจะทำอะไรหรือ ถึงต้องกู้เงินเพิ่ม” ผมถาม
“ผมอยากจะทำรีสอร์ทแอนด์สปา ที่จังหวัดเชียงราย เพราะเดี๋ยวนี้ มีนักท่องเที่ยวมาเที่ยวที่นี่กันเยอะมาก น่าจะไปได้ดี และอีกอย่างผมก็อายุมากแล้ว อยากจะมีที่ทางไว้พักผ่อนสบายๆ ยามแก่ด้วย” เถ้าแก่ตอบแบบดีดลูกคิดรางแก้ว ทำนองยิงกระสุนนัดเดียวได้นกสองตัวอะไรแบบนั้น และดูจะเชื่อมั่นมากว่า ธุรกิจนี้คงต้องไปได้ดีแน่ๆ
“ผมคิดว่าอย่างนี้นะเฮียนะ เฮียค้าขายอะไหล่ยนต์มานาน ในภาคเหนือคนรู้จักเฮียทั้งนั้น แบงค์ก็รู้จักเฮียดี แต่ตอนนี้เฮียคิดจะฉีกแนวไปทำธุรกิจใหม่ ซึ่งผมคิดว่ามันไม่ใหม่มากนักหรอก แต่เรื่องธุรกิจนี้มันใหม่สำหรับเฮีย ความสำเร็จอย่างมากในธุรกิจค้าอะไหล่ยนต์ที่ผ่านมาของเฮีย มันไม่ได้การันตีความสำเร็จในธุรกิจใหม่ที่เฮียกำลังคิดจะทำ ผมคิดว่าแบงค์เขาคิดอย่างนี้นะ เขาเลยขอดูแผนธุรกิจของเฮีย แล้วเฮียต้องใช้เงินกู้ประมาณเท่าไหร่ล่ะ”
“ไม่มากหรอก 80 กว่าล้านเท่านั้น” เฮียตอบแบบกึ่งรำคาญ แล้วถามผมต่อทันที “แผนธุรกิจ ที่แบงค์เขาอยากดู เขาอยากจะดูอะไร”
ผมจิบกาแฟนิดหนึ่ง ก่อนตอบ “แผนธุรกิจเนี่ยนะ ไม่มีอะไรมากหรอก เฮียต้องเขียนแผนการตลาด (Marketing Plan) ให้แบงค์เขาดูก่อนว่า เฮียคาดว่าจะมีลูกค้ามาใช้บริการสักกี่คน มาจากไหน กลุ่มลูกค้าเป้าหมายเป็นใคร รีสอร์ทของเฮียให้บริการอะไรบ้าง มีกี่ห้องพัก มีสิ่งอำนวยความสะดวกอะไรบ้าง ราคาค่าห้องและค่าบริการต่างๆเป็นอย่างไร มีส่วนลดแลกแจกแถมหรือมีการประชาสัมพันธ์อะไรบ้าง คู่แข่งเฮียมีใครบ้าง ให้บริการอะไร อยู่ที่ไหน สถิติการเข้าพักหรือการใช้บริการต่างๆ โดยเฉลี่ยทั้งปีเป็นอย่างไร คือทางแบงค์เขาจะดูว่า แผนการตลาดของเฮียจะเวอร์คไหม แค่นั้นแหละ”
“จากนั้น เฮียต้องเขียน แผนการก่อสร้าง (Construction Plan) โดยละเอียด ต้องบอก ทำเลที่ตั้งชัดเจน โครงสร้างลักษณะอาคารและระบบสาธารณูปโภคทั้งหมด การขอใบอนุญาตการก่อสร้างต่างๆ ระยะเวลาการก่อสร้างและค่าใช้จ่ายทุกรายการอย่างละเอียด”
เฮียนั่งนิ่งและฟังอย่างสนใจ “ขั้นต่อไป เฮียต้องเขียน แผนการบริหารงานบุคคล (Human Resource Management Plan) พูดง่ายๆ คือ เขียนโครงสร้างองค์กรนั่นแหละ จะใช้พนักงานทั้งหมดกี่คน มีกี่ตำแหน่ง อะไรบ้าง เงินเดือนเท่าไหร่ สวัสดิการและผลประโยชน์มีอะไร ใครจะเป็นเอ็มดี ใครจะเป็นผู้จัดการต่างๆ เฮียก็ว่าไปเลย ปีแรกจะให้มีพนักงานกี่คน ปีที่สองจะให้มีพนักงานกี่คน ปีที่สามจะมีกี่คน เฮียกำหนดได้เลยตรงนี้ แล้วจะไล่ออกปีละกี่คน อันนี้ผมพูดเล่นนะ”
เฮียทำท่าจะถาม แต่ผมเบรคไว้ก่อน “เดี๋ยวยังไม่จบครับ เฮียต้องเขียน แผนการเงิน (Financial Plan) บอกเขาว่า อยากจะกู้เงินเขาเท่าไหร่ ทั้ง 80 ล้านบาทเลยไหม หรือว่า กู้แค่ครึ่งเดียวหรือบางส่วนพอ จะควักกระเป๋าเองเท่าไหร่ นอกจากนี้ เฮียต้องทำแผนการเงินอย่างละเอียดให้เขาดูว่า 3 ถึง 5 ปีข้างหน้านี้ ธุรกิจรีสอร์ทแอนด์สปาของเฮียจะมี ยอดขายต่อปีเท่าไหร่ ค่าใช้จ่ายต่างๆต่อปีเท่าไหร่ กำไรสุทธิต่อปีเท่าไหร่ คุ้มทุนเมื่อไหร่ ต้องมีเงินทุนหมุนเวียนเท่าไหร่ มีทรัพย์สิน หนี้สิน และทุน เท่าไหร่ กระแสเงินสดรับ-จ่ายเป็นอย่างไร สุดท้ายที่สำคัญมากๆ เลยนะเฮีย อัตราผลตอบแทนโครงการ (IRR) เป็นกี่เปอร์เซนต์ คือเขาจะดูว่า คุ้มค่าการลงทุนไหม และค่า NPV เป็นเท่าไหร่ เป็นค่าบวกไหม เท่านี้แหละ”
“แผนธุรกิจต้องเขียนเท่านี้เองเหรอ ฟังดูไม่น่ายากนะ เข้าใจง่าย แต่ปัญหาคือ เขียนไม่เป็น เคยแต่สั่งงานลูกน้องอย่งเดียว อาซ้อก็เขียนไม่เป็น จะให้ทำยังไง” เฮียถามกลับ พลางหยิบคุ๊กกี้ใส่ปากเคี้ยว โดยไม่สนใจสายตาอยากกินคุ๊กกี้ของเจ้าปองปอง สุนัขตัวโปรดของน้องสาวที่มาฝากให้เฮียเลี้ยงแทนก่อนจะแอบหนีไปช้อปปิ้งที่ฝั่งพม่า
“เอาอย่างนี้ล่ะกัน เดี๋ยวผมเขียนให้ แล้วเฮียจ่ายค่ากาแฟมื้อนี้ให้ผมก็แล้วกัน” เฮียตอบตกลงทันที โดยไม่รอช้า ส่วนผมคิดว่า คงจะเป็นค่าจ้างเขียนแผนธุรกิจที่ราคาถูกที่สุดในโลก ทำไงได้ก็หลวมตัวไปแล้วนี่ครับ….สายลมพริ้วอ่อนที่พัดผ่านไป ชายหนุ่มทั้งสองต่างแยกย้ายกันไปทำภารกิจของตน เหลือไว้เพียงแต่ถ้วยกาแฟ ต้นไม้ ความทรงจำ และกลิ่นอายแห่งดอยตุง

1 ความคิดเห็น:

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

ขอบคุณสำหรับบทความนะค่ะ